วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ดูหนังทำไม

ดูหนังกันไปทำไม?
                                                                                                 
คำถามข้างต้นนี้เกิดขึ้นจากการที่เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของพิธีกรสาวคนหนึ่งที่ พูดถึงงานอดิเรกของตัวเอง ว่าเธอชอบทำงาน ไม่ชอบดูหนัง เพราะรู้สึกว่าการดูหนังนั้นเสียเวลา เอาเวลาไปทำงานดีกว่า เธอจึงปล่อยให้อดีตสามีพาลูกชายไปดูหนังกันสองคน

จำได้ว่าตอนนั้นที่อ่าน ก็รู้สึกว่า เออ แน่ะ! เธอช่างเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับชีวิตเหลือเกิน ตั้งใจทำงานซะนี่กระไร แต่ก็อดรู้สึกต่อต้านนิดๆ ไม่ได้ว่า จริงๆแล้วการดูหนังเนี่ยมันเสียเวลาอะไรขนาดนั้นเลยหรือ?

จริงอยู่ที่รสนิยมและความคิดในการใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราก็มีเพื่อนที่ไม่อ่านหนังสือการ์ตูน และเห็นว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระหรือไม่ก็เรื่องของเด็กๆ ในขณะที่เราซึ่งโตมากับการ์ตูนญี่ปุ่นกลับรู้สึกเสียดายแทนที่พวกเขาไม่มี โอกาสได้เปิดโลกทัศน์อย่างเราบ้าง และมันก็จริงอีกที่หลายคนอาจเห็นว่า การดูหนังซึ่งใช้เวลาอย่างต่ำชั่วโมงครึ่ง อาจเป็นการเผาผลาญเวลาโดยไม่ได้ผลอะไรกลับมาเลยเมื่อหนังจบ ผลที่ว่าหมายถึงผลที่เห็นเป็นรูปธรรม ไม่เหมือนกับการนั่งถักโครเชต์ ปลูกต้นไม้ หรือทำกับข้าว แม้แต่การอ่านหนังสือสักเล่มยังดูเหมือนจะประเทืองปัญญาให้ความรู้มากกว่า เสียอีก
เลยลองมานั่งลิสต์ดูเล่นๆ ว่าจริงๆแล้ว การดูหนังนั้น 'ให้' อะไรกับเราบ้าง

1. ให้ 'เพื่อน' ถึงนั่งดูหนังคนเดียวแต่ก็ยังรู้สึกว่าเราได้ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกบ้าง ผ่านทางตัวละครในหนังนั่นแหละ และจริงๆแล้วก็เหมือนเราได้รับฟังผู้กำกับและทีมงานเขาเล่าเรื่องนั่นเอง

2. ให้ 'ความบันเทิง' แน่นอน...แม้จะฟังดูไม่ไฮโซวโก้หรู แต่เสียงหัวเราะหรือความผ่อนคลายเบาสมองก็ยังเป็นเหตุผลอันดับต้นๆ ที่คนไปดูหนังกัน และความบันเทิงของแต่ละคนนั้นมีระดับที่แตกต่าง บางคนอาจจะบันเทิงที่ได้ดูหอแต๋วแตก แต่บางคนอาจจะบันเทิงที่ได้ดูหนังพี่เจ้ยก็เป็นได้ แต่ทั้งหมดนั้นคือความบันเทิงทั้งสิ้น

3. ให้ 'เติมเต็มจินตนาการ' ต่างกับหนังสือที่ทำให้คนอ่านต้องสร้างจินตนาการขึ้นมาเอง หนังที่มีทั้งภาพและเสียงแถมเดี๋ยวนี้ยังเป็นสามมิติทะลุจอ ก็ช่วยเติมเต็มจินตนาการให้คนดูได้แบบเต็มๆโสตประสาท โดยเฉพาะหนังไซไฟ-แฟนตาซี อภิมหากาพย์ทั้งหลายแหล่

4. ให้ 'ดื่มด่ำกับบรรยากาศ' เพลิดเพลิน ละเมียดละไม ราวกับได้จิบกาแฟอุ่นๆ ฟังเสียงนกร้องจิ้บๆ แม้ว่าในความจริงแล้วจะเป็นการนั่งมืดๆ อยู่ในห้องแคบๆ อับๆ นานนับชั่วโมงก็ตาม

5. ให้ 'แง่คิด' หนังทุกเรื่องต้องมีสาระ เพียงแต่ว่ามากน้อยแค่ไหน บางเรื่องสาระอาจจะอยู่ในความไร้สาระ เช่น ผู้หญิงห้าบาป อาจทำให้คนที่เข้าไปดูเพราะหวังจะสนองตัณหากามารมณ์ของตัวเอง เกิดความเบื่อหน่ายจนตาสว่างว่า เออ จริงๆ เรื่องพวกนี้มันก็ไร้สาระ (อยู่บ้านดูหนัง AV ดีๆ ไม่ชอบ ออกมาเสียตังค์ทำไม)

6. ให้ 'ความทันสมัย' ถ้าคนทั้งโลกดู Avatar กันแล้วคุณไม่ได้ดู แล้วจะไปคุยกับใครเค้ารู้เรื่อง แล้วยุคสมัยนี้ความทันสมัยมีผลอย่างมากต่อ 'การเข้าสังคม' ถ้าเราเกิดไปเจอคนที่ดูหนังเรื่องเดียวกัน พูดคุยสนิทสนมจนเกิดเป็นความผูกพัน หนังอาจทำให้เราได้เพื่อนหรือแฟนหรือกิ๊กก็ได้ใครจะไปรู้

7. ให้ 'ความรู้รอบโลก' ดูหนังฮอลลีวู้ดก็อาจจะได้รู้ว่า เออ นิวยอร์คมันหน้าตาเป็นอย่างนี้ เทพีเสรีภาพที่ถูกน้ำท่วมโลกทุกครั้งมันเป็นสีเขียว ดูหนังบอลลีวู้ดก็อาจจะได้เห็นท่าเต้นบันลือโลก ดูหนังเกาหลีญี่ปุ่นก็ได้ซึมซับวัฒนธรรม เรียนภาษา ซาราแฮโย กันไป

8. ให้ 'ศึกษาปัญหาชีวิต' เพราะหนังส่วนใหญ่ก็คือการเอาปัญหาชีวิตของตัวละครมาตีแผ่ เช่น ปัญหาความสัมพันธ์ ท้องในวัยเรียนทำไงดี (ไปดู Juno ซะ) แล้วถ้าไปทำเค้าท้องล่ะ (Knockup สิครับ) แอบรักแฟนเพื่อน (โอ้ย อันนี้เยอะ) ไปจนถึงปัญหาขั้นหนักหน่วง เช่น ถ้ามีระเบิดอยู่ข้างหน้าจะตัดเส้นไหนดี เป็นต้น

9. ให้ 'มุมมองที่แตกต่าง' สำหรับหนังที่มีแนวทางเป็นของตัวเอง กลั่นออกมาจากความคิดที่ตกตะกอนของผู้กำกับอย่างแท้จริง เราก็จะได้ค้นพบมุมมองใหม่ๆนั้นไปด้วย ไม่ใช่ย่ำอยู่แต่กับความคิดเดิมๆ ตลอดไป อย่างนี้แหละที่เค้าเรียกว่าหนัง 'จุดประกาย' แต่ถ้ามุมมองนั้นเราไม่เก็ท อาจถูกเรียกว่าหนัง 'ปีนกระได' ไปก็ได้

10. ให้ 'คนทำหนังมีอันจะกิน' อันนี้สำคัญมาก อยากจะบอกว่าดูหนังแล้วได้สนับสนุนคนในวงการให้อยู่รอดต่อไปได้ เพราะฉะนั้นอาจพูดอีกแบบว่า ดูหนังแล้วได้ 'บุญ' นะจ้ะ

ไม่รู้ว่าป่านนี้ พิธีกรสาวคนนั้นจะเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับการดูหนังไปรึยัง ถ้ายังก็อยากจะบอกเธอว่า นับข้อดีได้ตั้ง 10 ข้ออย่างนี้ การดูหนังคงไม่เสียเวลาแน่ๆ แต่เลือกดูให้ถูกเรื่องก็แล้วกัน !!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น